ครั้งหนึ่งของเด็กชายสายแจ้ง รื่นกลิ่น ชาว ต.โคกสะอาด อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ เขาเป็นคนที่มีนัยน์ตาสดใส มองเห็นทุกอย่างเหมือนคนทั่วไป แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะกลั่นแกล้ง เขาเกิดอุบัติเหตุถึงสองครั้ง ทำให้ดวงตาบอดสนิททั้งสองข้างแต่เขาไม่ย่อท้อ กลับมองว่าการเดินไปข้างหน้า คือโชคชะตาที่ฟ้าได้กำหนดมาให้เขาได้เริ่มการสู้ต่อในช่วงชีวิตที่มืดมิดนี้ เมื่ออายุ 17 ปี เขาได้ตัดสินใจขอข้าวเปลือก 3 กระสอบจากญาติ เป็นค่ารถมุ่งหน้าเข้าสู่เส้นทางของคนพิการทางสายตา ฝึกอาชีพ และเรียนรู้อักษรเบรลล์ เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้เพื่อคนพิการรุ่นต่อๆ มา
จากการที่เขาเองได้ประสบกับชะตากรรมจนทำให้ต้องอยู่ในโลกมืดนั้น เขาได้พบกับประกายแสงแห่งความหวังในการที่จะร่วมแรงร่วมใจกับบุคคลต่างๆ ที่มีความพิการในร่างกายหลายๆ ส่วน เพื่อจูงมือกันช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่ให้เป็นภาระกับคนอื่นๆ จึงได้รวบรวมคนพิการตั้งสมาคมสหพันธ์คนพิการในประเทศไทย เพื่อเป็นศูนย์กลางการฝึกอาชีพ และให้การช่วยเหลือต่างๆ กับคนพิการทั่วประเทศ
"ผมเป็นลูกชาวนาจนๆ เรียนหนังสือจบ ป.4 ก็ออกมาช่วยพ่อแม่ทำนา ทำไร่ และรับจ้างทั่วไปได้ค่าแรงวันละ 25 บาท ซึ่งผมเองไม่คิดว่าโชคจะร้ายถึงขนาดทำให้กลายเป็นคนพิการ ตอนนั้นผมอายุ 15 ปี รับจ้างขุดดินทำสระ เพื่อนโยนกิ่งไม้พลาดเข้าไปแทงลูกตาข้างขวาบอดสนิท ก็ต้องทนทำงานรับจ้างต่อไป แต่ดูเหมือนว่ากรรมของผมยังไม่หมด ขณะที่ผมอายุ 17 ปี ไปซ้อมมวยกับเพื่อน ถูกเพื่อนชกตาซ้ายจนอักเสบและบอดสนิทเป็นข้างที่สอง จากนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรได้ อยู่บ้านเฉย ๆ นาน 6 เดือน ขณะนั้นก็คิดอยู่ตลอดว่าต่อไปนี้จะทำอะไรได้ และได้นึกถึงคุณลุงคนหนึ่งที่พิการ เป็นภาระของพี่น้อง ถ้าผมอยู่คงต้องเป็นภาระของคนอื่น กว่าผมจะตายคงจะหมดข้าวสารหลายกระสอบ จึงตัดสินใจขอข้าวสารจากญาติ 3 กระสอบ เพื่อเป็นค่ารถไปกรุงเทพฯ เพราะมีหน่วยงานสอนอาชีพให้คนตาบอด"
สายแจ้งได้เล่าถึงประสบการณ์หลังจากนั้นว่า ผมเริ่มชีวิตใหม่ที่ศูนย์ฝึกอาชีพคนตาบอดปากเกร็ด ได้เรียนรู้อาชีพการสานไม้ไผ่ เรียนอักษรเบรลล์ได้ 1 ปี บาทหลวงที่ดูแลศูนย์ก็ส่งไปอยู่ที่สุราษฎร์ธานี เพื่อฝึกทำสวนกาแฟอยู่ได้ 2 ปี ก็คิดว่าคงไม่ใช่อาชีพของเราและได้คิดทบทวนสิ่งที่ผ่านมา จึงย้อนกลับสู่เมืองกรุงมาขายสลากกินแบ่งรัฐบาล มีรายได้เดือนละ 3,000 บาท ขายได้ 1 ปี ชีวิตเข้าสู่วงการสังคม โดยเพื่อนชวนให้ช่วยงานที่ชมรมคนตาบอดชาวอีสาน ทำหน้าที่ผู้ช่วยประชาสัมพันธ์ เลื่อนเป็นเหรัญญิก จนปี 2530 ชมรมถูกยกฐานะเป็นสมาคมคนตาบอดชาวอีสาน และในปี 2541-2542 ได้เป็นนายกสมาคม หลังจากนั้นได้เข้าไปคลุกคลีอยู่ที่สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างงานให้กับคนตาบอด จนได้เป็นนายกสมาคม และระหว่างนั้นมีการต่อสู้เรียกร้องให้รัฐบาลจัดโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล จนได้มา 19% จากทั้งหมด 4.6 แสนเล่ม เพื่อให้คนพิการมีอาชีพจนทุกวันนี้
และเมื่อปี 2551 ได้ก่อตั้งสมาคมสหพันธ์คนพิการในประเทศไทย โดยเขา "สายแจ้ง รื่นกลิ่น" เป็นนายกสหพันธ์คนพิการในประเทศไทย เพื่อสานงานต่อที่ต้องการให้คนพิการทั่วประเทศได้ฝึกอาชีพมีงานทำ สร้างงานและสร้างรายได้ ไม่ต้องเป็นภาระต่อสังคม ในช่วงเริ่มต้นนี้ ทางสมาคมฯ ไม่มีรายได้หรือได้รับการสนับสนุนใดๆ จึงต้องดำเนินการหารายได้เพื่อเป็นกองทุนการศึกษาและสร้างอาชีพให้คนพิการ